คำสร้อย

คำสร้อย

คำสร้อย คำสร้อยเป็นคำที่ใช้เติมลงท้ายวรรคบ้าง ท้ายบาทบ้าง ท้ายบทบ้าง เพื่อ ความไพเราะ หรือเพื่อทำให้ข้อความสมบูรณ์

คำสร้อยที่นิยมใช้ กันมาแต่โบราณนั้น มีทั้งหมด ๑๘ คำ ดังนี้

๑. พ่อ ใช้ขยายความเฉพาะบุคคล เช่น ฤทธิ์พ่อ, นี้พ่อ, นาพ่อ ฯลฯ

ศัตรูหมู่พาลา พาลพ่าย ฤทธิ์พ่อ

๒.แม่ ใช้ขยายความ เฉพาะบุคคล หรือเป็นคำ ร้องเรียก เช่น แม่แม่, มาแม่ ฯลฯ

แสนศึกแสนศาสตร์ซ้อง แสนพัน มาแม่

๓.พี่ ใช้ขยายความ เฉพาะบุคคล เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๑ หรือ ๒ ก็ได้ เช่น ฤๅพี่

สองเขือพี่หลับไหล ลืมตื่น ฤๅพี่

๔. เลย ใช้ในความหมาย เชิงปฏิเสธ เช่น เรียมเลย, ถึงเลย ฯลฯ

ประมาณกึ่งเกศา ฤๅห่าง เรียมเลย

๕.เทอญ มีความหมาย ในเชิงขอให้มี หรือขอให้เป็น เช่น ตนเทอญ ฯลฯ

สารพัดเขตจักรพาล ฟังด่ำ บลเทอญ

๖.นา ดังนั้น เช่นนั้น จำบำราศบุญเรือง รองบาท พระนา

๗.นอ มีความหมาย เช่นเดียวกับคำอุทานว่า 'หนอ' หรือ 'นั่นเอง'

ยอกไหล่ยอกตะโพกปาน ปืนปัก อยู่นอ

๘.บารนี สร้อยคำนี้ นิยมใช้มากในลิลิตพระลอ มีความหมายว่า 'ดังนี้' 'เช่นนี้'

กินบัวอร่อยโอ้ เอาใจ บารนี

๙.รา มีความหมาย ละเอียดว่า 'เถอะ' 'เถิด'

วานจวนชำระใจ ความทุกข์ พี่รา

๑๐.ฤๅ มีความหมาย เชิงถาม เหมือนกับคำว่า หรือ มกุฏพิมานมณ ฑิรทิพย์ เทียมฤๅ

๑๑.เนอ มีความหมายว่า ดังนั้น 'เช่นนั้น'

วันรุ่งแม่กองทวิ ทศพวก นายเนอ

๑๒.ฮา มีความหมาย เช่นเดียวกับ คำสร้อย นา

กวัดเท้าท่ามวยเตะ ตึงเมื่อย หายฮา

๑๓.แล มีความหมายว่า อย่างนั้น เป็นเช่นนั้น

กัลยาเคยเชื่อไว้ วางใจ มาแล

๑๔.ก็ดี มีความหมาย ทำนองเดียวกับ ฉันใดก็ฉันนั้น

นิทานนิเทศท้าว องค์ใด ก็ดี

๑๕.แฮ มีความหมายว่า เป็นอย่างนั้นนั่นเอง ทำนองเดียว กับคำสร้อย แล

อัชฌาสัยแห่งสามัญ บุญแต่ง มาแฮ

๑๖.อา สร้อยคำนี้ ไม่มีความหมายแน่ชัด แต่จะวางไว้หลังคำร้องเรียก ให้ครบพยางค์ เช่น พ่ออา แม่อา พี่อา หรือเป็นคำ ออกเสียงพูด ในเชิงรำพึง แสดงความวิตกกังวล

เป็นไฉนจึงด่วนทิ้ง น้องไป พี่อา

๑๗.เอย ใช้เมื่ออยู่หลัง คำร้องเรียก เหมือนคำว่า เอ๋ย หรือวางไว้ ให้คำครบตามบังคับ

จำปาจำเปรียบเนื้อ นางสวรรค์ กูเอย

๑๘.เฮย ใช้ในลักษณะ ที่ต้องการเน้น ให้มีความเห็น คล้อยตามข้อความ ที่กล่าวมาข้างหน้า สร้อยคำนี้ มาจากคำเขมรว่า "เหย" แปลว่า "แล้ว" ดังนั้นเมื่อใช้ ในคำสร้อย จึงน่าจะมีความหมายว่า เป็นเช่นนั้นแล้ว ได้เช่นกัน

ขึ้นดั่งชัยพฤกษ์พร้อม มุรธา ภิเษกเฮย

คำสร้อยทั้ง ๑๘ คำที่กล่าวมานี้ เป็นคำสร้อยแบบแผนที่ใช้กันมาแต่โบราณจนถึงปัจจุบันนอกจากนี้ ยังมีคำสร้อย อีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า "สร้อยเจตนัง" เป็นคำสร้อยที่กวี ต้องการให้เป็น ไปตามใจของตน หรือใช้คำสร้อยนั้น โดยจงใจ ผู้ที่เริ่มฝึกหัดการประพันธ์ ควรใช้แต่สร้อยที่เป็นแบบแผน หลีกเลี่ยงการใช้ สร้อยเจตนัง ในงานกวีนิพนธ์ ที่เป็นพิธีการ ก็ไม่ควรใช้เช่นกัน สร้อยแบบนี้ พบไม่บ่อยนัก จึงหาตัวอย่างได้ยาก เช่น

หายเห็นประเหลนุช นอนเงื่อง งงง่วง

พวกไทยไล่ตามเพลิง เผาจุด ฉางฮือ

ลัทธิท่านเคร่งเขมง เมืองท่าน อือฮือ

การใช้คำสร้อย ของกวีในอดีต แต่ละท่านมีความนิยม แตกต่างกัน ในงานประพันธ์ บางชิ้น ที่ไม่ทราบว่าท่านใด เป็นผู้ประพันธ์ อาจใช้รูปแบบ ความนิยม ในการใช้คำสร้อย เป็นสิ่งช่วยวินิจฉัยว่า ผลงานนั้นเป็น ของกวีท่านใด